|
|
|
ที่มา บอร์ด http://www.it-th.net
|
|
|
ที่มา บอร์ด http://www.it-th.net
การสะกดจิตคือกระบวนการให้ข้อมูลกับจิตใต้สำนึก ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในของบุคคลนั้น เริ่มตั้งแต่ นิสัย บุคลิกภาพ พฤติกรรม ความเชื่อ ไปจนถึงระบบการทำงานบางอย่างของร่างกาย การสะกดจิตเกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก แล้วจิตใต้สำนึกมีอิทธิพลอย่างไรกับเรา
เมื่อจิตใต้สำนึกได้รับข้อมูลอะไรเข้าไปเป็นการฝังแน่น ถาวรแล้ว จิตใต้สำนึกจะทำให้เราเป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว จนกว่าจะมีการแก้ไขข้อมูลในจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างคนกลัวแมว กลัวความสูง กลัวเข็มฉีดยา หรือกลัวอะไรที่พิเศษ ประหลาดกว่าคนอื่น หลายคนจำไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ถ้าย้อนไปในวัยเด็ก พ่อหรือแม่หรือผู้ใหญ่อาจจำแทนเราได้ เช่น ตอนเด็กๆ ถูกแมวกระโจนใส่ ด้วยความตกใจนั้นเองจิตใต้สำนึกได้เปิดขึ้นและรับเอาข้อมูลนั้น ความกลัวอย่างอื่นก็เกิดจากพฤติกรรมคล้ายๆกัน สังเกตว่า เวลาที่เราตกใจชนิดใจหาย ความตกใจนั้นรุนแรงมากเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น สภาวะนั้นจิตใต้สำนึกจะเปิดและรับเอาข้อมูลเข้าไว้ ทั้งหมดนี้มาจากกระบวนการที่เรียกว่าทฤษฎีไม้กระดก เมื่อเราใช้สมอง หมายถึงจิตสำนึกก็ทำงานไปด้วย แต่พอหยุดใช้สมอง จิตสำนึกก็จะหยุดทำงาน ในขณะที่จิตใต้สำนึกก็จะตื่นขึ้น เปิดขึ้น เป็นฝ่ายทำงานแทนทันที
การทำงานระหว่างจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกจะสลับกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเปิด อีกฝ่ายจะปิด ขณะเดียวกันถ้าฝ่ายหนึ่งเปิดนิดหน่อย อีกฝ่ายก็จะปิดนิดหน่อย เหมือนไม้กระดก ที่หากฝั่งหนึ่งขึ้นสูงมากที่สุด อีกฝั่งก็จะลงต่ำสุด และหากฝั่งหนึ่งลงมาอยู่กึ่งกลาง อีกฝั่งก็จะขึ้นมาเสมอกัน ฉะนั้น จิตใต้สำนึกกับจิตสำนึกก็สามารถอยู่ในภาวะกึ่งเปิดกึ่งปิดพร้อมกันได้ ซึ่งอาจเรียกว่าภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นหรือภวังค์ก็ได้ ฉะนั้นการเข้าสู่ภวังค์ หรือภาวะจิตใต้สำนึกเปิด ไม่จำเป็นที่เราจะต้องหลับ เพียงแต่ลดการใช้สมองลง ภาวะที่ใช้สมอง เช่น เครียด ตั้งใจ มอง ฟัง พูด อ่าน เขียน สังเกต เฝ้ารอ ล้วนเป็นภาวะที่ใช้สมอง เมื่อลดการใช้สมองลง จิตสำนึกก็จะลดลงไปด้วย ทำให้จิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมารับข้อมูล การตกใจ หรือดีใจสุดขีด ก็เป็นการเปิดจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่ง สังเกตเวลาเราตกใจ เราลืมทำทุกอย่างไปเลย แม้แต่หายใจบางทียังลืม ภาวะนี้เอง จิตสำนึกก็ตกลง จิตใต้สำนึกก็ตื่นขึ้น ถ้ามีข้อมูลด้านลบเข้าไป ก็จะกระตุ้นเราไปในทางนั้นทันที เช่น ให้ตกใจกลัวแมว กลัวความสูง กลัวเข็มฉีดยา ฯลฯ
อีกวิธีที่ข้อมูลจะเข้าสู่จิตใต้สำนึกก็คือ ภาวะการทำซ้ำๆ เช่น คิด ซ้ำๆ พูดซ้ำ ๆ ทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ จิตใต้สำนึกจะรับข้อมูลเข้าไปทีละน้อยในภาวะที่เราตื่นอยู่ ซึ่งต้องอาศัยเวลานานแรมเดือนขึ้นไป
ทีนี้ ความอ้วนเกี่ยวอะไรกับการสะกดจิต ความอ้วน หากเกิดจากนิสัยการกินที่กินไม่เลือก กินไม่ยั้ง หรือกินแต่ของชวนอ้วน จุดเริ่มต้นอาจมาจากหลายอย่าง เช่น เครียด เหงา ชอบกิน เลิกสูบบุหรี่ ฯลฯ แต่พอทำไปนานๆก็ติดเป็นนิสัย คนอ้วนที่อยากลดน้ำหนักจะรู้ว่า ก็แค่กินให้น้อยๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ผอมแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ หรือที่ใช้ยาก็รู้ว่าวิธีที่ตัวเองทำอยู่ไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ หยุดยาก็กลับมาอ้วนใหม่ คนที่เอาชนะจิตใจตัวเองได้จึงจะลดความอ้วนลงได้ ส่วนคนที่เอาชนะจิตใจของตัวเองไม่ได้ ชีวิตก็สลับกันไปกับความอ้วน ความกลุ้ม ดีใจที่ลดน้ำหนัก และฉลองด้วยกันกินครั้งใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นเพราะจิตใต้สำนึกมีความทรงจำของลักษณะนิสัยการกินที่ไม่ปกติ ทำใจเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แต่การสะกดจิตจะแก้ปัญหาเรื่องการทำใจได้ ให้เรามีนิสัยมุ่งมั่น และรู้สึกเบื่อของหวาน เบื่อของมัน เบื่อการกินจุกจิก เปลี่ยนมากินน้อยๆโดยไม่ต้องบังคับควบคุมตัวเอง และเราก็จะผอมลงเป็นปกติ วิธีการนี้เมื่อได้ผลแล้ว จะมีผลถาวรตลอดไปเพราะเป็นการไปเปลี่ยนนิสัยของเราโดยถาวร
ที่มา http://www.thaihypno.com
เมื่อมนุษย์รู้และเข้าใจการทำงานของจิตใต้สำนึก จึง พยายามแสวงหาวิธีควบคุมและสั่งการจิตใต้สำนึก
ด้วยกลวิธีที่จะสามารถเปิดจิตใต้สำนึกและเพิ่มหรือ เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นไปตามที่ต้องการ
จิตใต้สำนึกจะเปิดเมื่อจิต ร่างกายและอารมณ์อยู่ใน สภาวะต่อไปนี้
1. มีสมาธิ (ขณะเข้าญาณ หรือใจจดจ่อเรื่องใดเรื่อง หนึ่งอย่างแรงกล้า)
2.อยู่ในภวังค์ (จิตใจล่องลอย ควบคุมไม่ได้ชั่วขณะ)
3. สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
4. จิตใจว่างเปล่า (หยุดรู้สึก หยุดนึก หยุดคิดไปชั่ว ขณะหนึ่ง)
5. ดีใจ ตกใจ เสียใจ ตื่นเต้นสุดขีดจนลืมตัว (อาการ ลืมตัวจะทำให้จิตใจว่างเปล่าไปชั่วขณะ)
การสะกดจิต คือ สภาวะที่ผู้ถูกสะกดจิตตอบสนอง ต่อคำบอกกล่าว (SUGGESTION) ผู้ถูกสะกดจิต
จะอยู่ในภาวะยอมรับคำบอกกล่าว (SUGGESTION) โดยอัตโนมัติ ภายใต้สภาพ
แวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น หากผู้ถูก สะกดจิตรู้ตัวว่าตัวเองกำลังตอบสนองคำบอกกล่าว
(SUGGESTION) ผู้ถูกสะกดจิตจะได้ยิน ได้ เห็น และรู้สึกไปตามที่ผู้สะกดจิตกำหนด นอกจากนี้
ความทรงจำและความตื่นตัวก็จะถูกควบคุมได้เช่น เดียวกัน และการตอบสนองเหล่านี้ก็อาจยังคงอยู่แม้
หลังการสะกดจิตผ่านไปแล้วก็ตาม ดูคล้ายกับว่าการ สะกดจิตสามารถแยกผู้ถูกสะกดออกจากโลกแห่ง
ความจริงในสภาวะหนึ่งๆ ได้ทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการสะกดจิต
ลักษณะและความทรงจำจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงใดๆต่อ
ลักษณะนิสัยและความทรงจำ เว้นแต่จะถูกส่งเข้าสู่ จิตใต้สำนึกโดยตรง
ที่มาของการสะกดจิต
ความสัมพันธ์ของคลื่นสมองที่มีต่อการสะกดจิต เราสามารถวัดคลื่นสมองได้ 4 ระดับ แสดงประ
สิทธิภาพการทำงานของสมองแตกต่างกัน คือ
1.เบต้า (BETA)
ความเร็ว 14 รอบต่อวินาที เป็นระดับที่คลื่นสมอง ในภาวะปกติ เป็นระดับการรับรู้ขณะที่เราตื่นเต็มที่
สามารถใช้ความคิดและแสดงความรู้สึกอารมณ์ ต่างๆ ได้เต็มที่
2.อัลฟ่า (ALPHA)
ความเร็ว 7 รอบต่อวินาที เป็นระดับคลื่นสมองใน สภาวะจิตเหม่อลอย ยังรู้สึกตัวและใช้สมองคิดได้
ในภาษาไทยเรียกว่าอยู่ในภวังค์ จิตใจจะมุ่งเพ่งกับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งจนลืมสิ่งอื่นๆไป
3. เธทต้า (THETA)
ความเร็ว 4 รอบต่อวินาที เป็นระดับคลื่นสมองที่ค่อน ข้างต่ำ อยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น อาจได้ยินและเห็น
ภาพแต่จิตสำนึกไม่อาจตอบสนองอย่างทันทีในสิ่งที่ เกิดขึ้น สภาวะจิตใต้สำนึกเริ่มเปิด
4. เดลต้า (DELTA)
ความเร็วต่ำกว่า 4 รอบต่อวินาที เป็นระดับคลื่น สมองที่เกือบเป็นเส้นตรง อยู่ในสภาวะหลับลึก จิตใต้
สำนึกเปิดเต็มที่ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดใน สภาวะนี้จะได้รับการบันทึกสู่จิตใต้สำนึก
(SOMNAMBULISM)
วิธิเปิดจิตใต้สำนึก
1.นั่งสมาธิ (หรือขบวนการอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน เช่น ภาวะจิตจดจ่อ แน่วแน่)
ความเข้าใจโดยพื้นฐานของการนั่งสมาธิคือการทำ จิตให้ว่าง เป็นการกำหนดหรือสั่งไปที่จิตสำนึก ตาม
ทฤษฏีการสะกดจิตถือว่าความจำและลักษณะนิสัย จะเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะมิได้ส่งข้อมูลโดยตรง
ไปสู่จิตใต้สำนึก นอกจากนี้การนั่งสมาธิ เมื่อรวมกับ ความเชื่อทางพุทธศาสนาที่จะต้องเจริญภาวนาเพื่อ
ให้มีสติอยู่เสมอ ขัดกับความเข้าใจในทฤษฏีการ สะกดจิตตรงที่ การมีสติอยู่เสมอนั้น ทำให้ประสาท
การทำงานต่างๆ ของร่างกายตื่นตัว และคลื่นสมอง อยู่ในภาวะเบต้า หรืออัลฟ่า ทำให้จิตใต้สำนึกไม่อาจ
เปิดได้ เว้นแต่อาจนั่งสมาธิฝึกฝนมาถึงระดับหนึ่ง แล้ว เช่น มีภาวะจิตใจจดจ่อแน่วแน่ มีจิตที่นิ่งจนเข้า
สู่สภาวะจิตว่าง (เป็นการตีความของผู้เขียนตาม ทฤษฏีการสะกดจิต ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย)
2.อยู่ในภวังค์ (จิตใจล่องลอย ควบคุมไม่ได้ชั่วขณะ)
เราไม่อาจกำหนดได้ว่าตนเองจะอยู่ในภวังค์เมื่อไหร่ การสะกดจิตโดยผู้ถูกสะกดจิตไม่รู้ตัวล่วงหน้า อาจ
ให้ผู้ถูกสะกดอยู่ในภาวะดังกล่าวแล้ว
3. สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
จิตใต้สำนึกของคนทั่วไปจะเปิดเมื่ออยู่ในสภาวะนี้ การฝันเกิดขึ้นเนื่องจากข้อมูลบางอย่างยังค้างอยู่และ
ถูกบันทึกลงในจิตใต้สำนึกเมื่อเราอยู่ในสภาวะกึ่งหลับ กึ่งตื่น จิตใต้สำนึกเมื่อได้รับข้อมูลแล้วจะทำงานทันที
จิตใต้สำนึกจึงทำงานสะเปะสะปะ การฝันเป็นขบวน การทำงานอย่างหนึ่งของจิตใต้สำนึก
4. จิตใจว่างเปล่า (หยุดรู้สึก หยุดนึก หยุดคิดไปชั่ว ขณะหนึ่ง)
ใครๆ ก็อาจอยู่ในภาวะจิตใจว่างเปล่าได้ การสะกดจิต สามารถทำให้ผู้ถูกสะกดจิตอยู่ในภาวะจิตใจว่างเปล่า
ได้ชั่วขณะหนึ่ง และในชั่วขณะนั้นเองจิตใต้สำนึก จะเปิด
5. ดีใจ ตกใจ เสียใจ ตื่นเต้นสุดขีดจนลืมตัว (อาการ จนลืมตัวจะทำให้จิตใจว่างเปล่าไปชั่วขณะ)
เราไม่สามารถควบคุมอาการรุนแรงทางอารมณ์เหล่า นี้ได้ และเป็นอันตรายที่จะใช้ภาวะดังกล่าวในการสะ
กดจิต
ทำไมต้องสะกดจิต
จิตเป็นแหล่งควบคุมลักษณะนิสัย ความรู้สึกนึกคิด กระบวนการทำงานของระบบประสาทของร่างกาย
สภาวะทางจิตของมนุษย์อาจแปรปรวน หรือเสื่อม สมรรถภาพ หรือสูญเสียการควบคุม ลักษณะนิสัย
ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงกระบวนการทำงานของ ระบบประสาทของร่างกาย จิตที่อยู่ในสภาพดัง
ด้องได้รับความรู้สึกนึกคิด รวมถึงกระบวนการทำ งานของระประสาทของร่างกาย จิตที่อยู่ในสภาพ
ดังกล่าวต้องได้รับการบำบัดและแก้ไขให้คืนสภาวะ ปกติโดยเร็วที่สุด การเปิดจิตใต้สำนึกเพื่อแก้ไขปัญ
หาต่างๆ ย่อมทำได้ดีกว่าการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆทดสอบการสะกดจิตวิธีต่างๆ
ตัวอย่างฝึกหัดการสะกดจิต
1.การใช้ลูกดิ่ง (PENDULUM)
หลักการ
จิตใต้สำนึกจะสั่งให้อวัยวะเคลื่อนไหวตามปรารถนา โดยจิตใต้สำนึก หรือการรับรู้ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวหรือ
ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมอวัยวะ
2.ผ่ามะนาว (LEMON CUT)
หลักการ
เมื่อเราใส่ใจหรือตั้งใจทำอะไรบางอย่าง จิตใต้สำนึก จะเปิดและสั่งงานตามสภาพแวดล้อม
3. ยกลูกตุ้มเหล็ก (ARMS RISING AND FALLING TEST)
หลักการ
อวัยวะจะตอบสนองสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใต้สำนึก
4. โยกเยก (POSTURAL SWAY TEST)
การปล่อยจิตให้เข้าสู่การผ่อนคลายอย่างลึกจะหลุด พ้นจากการควบคุมโดยอารมณ์และจิตสำนึกโดยสิ้น
เชิง
5.ผ่อนคลาย (PROGRESSIVE RELAXATION TEST)
หลักการ
กำหนดจิตใต้สำนึกให้หลับลึก และสามารถทดสอบ สิ่งต่อไปนี้ได้ตามลำดับ คือ ความรู้สึกเบาสบาย
ความรู้สึกหนัก ความรู้สึกอิ่มเอมในสมอง ช่องปาก อาการตากระพริบถี่ หมดความรู้สึกต่ออวัยวะบาง
ส่วน อาการลืมเวลา ฯลฯ
6. ยกคนด้วยนิ้ว
หลักการ
ความเชื่ออย่างแรงกล้านำมาซึ่งในที่นิ่ง และจิตใต้ สำนึกเปิดตามมา ซึ่งจะทำให้อวัยวะร่างกายตอบ
สนองความเชื่อนั้น
ประโยชน์ที่ได้จากการสะกดจิต
สะกดจิตเพื่อการแสดง นักมายากลใช้การสะกดจิตประกอบการแสดง
สะกดจิตเพื่อบำบัดทางจิต คลายเครียด คืนสภาวะจิตให้สงบ อาการตื่นกลัว
หวาดผวา แก้ไขนิสัยบางอย่าง เพิ่มกำลังใจ สร้าง ความมั่นใจในตัวเอง ฯลฯ
สะกดจิตเพื่อการรักษาทางการแพทย์
ช่วยในการคลอดบุตรให้ง่ายขึ้น ควบคุมอาการเจ็บ ปวด ทำให้ชาเพื่อการรักษาและผ่าตัด
สะกดจิตเพื่อชี้นำและครอบงำจิตใจ
เคยมีหลักฐานว่ามีบุคคลจำนวนหนึ่งกระทำได้ เช่น รัสปูตินในรัสเซีย ปัจจุบันเชื่อว่าสามารถนำมาใช้ได้
กว้างขวาง เช่น ในอาชีพนักการเมือง นักขาย นัก ประชาสัมพันธ์ ผู้นำเพื่อเหตุผลต่างๆ
สะกดจิตเพื่อดึงความทรงจำจากจิตใต้สำนึก
ใช้ในทางกฏหมายหรือต่อต้านอาชญากรรม เช่น ดึงความทรงจำจากพยานในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งจำ
รายละเอียดไม่ได้ แต่จิตใต้สำนึกจะบันทึกข้อมูลเป็น ภาพซึ่งสามารถดึงรายละเอียดได้
นอกจากนี้เคยมีการทดลองสะกดจิตเพื่อดึงข้อมูลใน อดีตชาติก่อนและอนาคต ตามสมมุติฐานที่ว่าหาก
จิตวิญญาณเป็นสิ่งคงที่และเปลี่ยนแปลงร่างกายตาม กาลเวลา จิตใต้สำนึกย่อมบันทึกข้อมูลดังเดิมไว้ มี
การยืนยันถึงผลสำเร็จบางรายเท่านั้น
อันตรายของการสะกดจิต
1. เหมือนปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้กับแพทย์ ทันตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาและนักบำบัดอื่นๆ อาจ
เกิดการแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีในความผิดพลาด ความไม่พอใจต่อผล หรือจากการข่มขู่คุกคาม เข้าใจ
ผิด หรือจากเรื่องทางเพศ
2.การล่วงละเมิดทางเพศ หรือปรากฏการณ์ที่ทำให้ ผู้ถูกสะกดจิตรู้สึกฉงนสงสัย อาจทำให้ผู้ถูกสะกด
หวั่นเกรงว่าได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
3. อาจเป็นไปได้ที่ผู้ทำการสะกดจิต และผู้รับการสะ กดอาจรู้สึกเหนื่อยอ่อน มึนงงทันทีทันใด (ในรายที่มี
อาการดังกล่าวอยู่ก่อนหน้าแล้ว) ผู้ถูกสะกดอาจจะตื่น หลังจากนั้น หรือหลับไป แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหลับไป
แล้วไม่ฟื้นเลย
(ชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย สะกดจิต สะกดจิตบำบัด พลังจิต พลังจิตบำบัด จิตสำนึก จิตใต้สำนึก พลังจิตใต้สำนึก สั่งจิต สั่งจิตใต้สำนึก แพทย์ทางเลือก จิตเหนือสำนึก จิตไร้สำนึก จิต เทคนิคจิตใต้สำนึก จิตวิทยา สุขภาพจิต จินตนาการ จินตภาพบำบัด จิตเป็นายกายเป็นบ่าว กล่อมเกลาจิตใต้สำนึก คลื่นสมอง ดนตรีบำบัด หลับยาก เครียดง่าย โมโหร้าย ใจร้อน กดดันตัวเอง คาดหวัง ตื่นเต้น วิตก ท้อแท้ หดหู่ มะเร็ง ภูมิแพ้ สะเก็ดเงิน พาร์กินสัน หวาดกลัว พฤติกรรม นิสัย ทัศนคติ ความเชื่อ พีระมิด เพนดูลั่ม หินบำบัด รักษา the society of thai hypnotists http://www.thaihypno.com hypnotism hypnosis hypnotizing hypnotize hypnotherapy imagination alternative medicine mind over matter Holistic healing intregeted curation brain wave music therapy science of vibration crystal bowl )