โดย นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
ความวิตกกังวลเกิดได้กับทุกคน
ความวิตกกังวลเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ คนเราทุกคนต้องเคยมีความวิตกกังวล คนที่ไม่เคยกังวลอะไรเลยเป็นคนไม่ปกติแม้แต่มนุษย์ถ้ำยังต้องกังวลว่ามื้อหน้าจะมีอะไรเป็นอาหาร จักรพรรดิ์โรมันยังต้องคิดหนักเมื่อจะทำการใหญ่โต เราเองก็เช่นกันเรามีเรื่องมากมายที่จะต้องเป็นห่วงเป็นกังวล อาจจะเป็นเรื่องงาน ปัญหาชีวิตคู่ หรือเรื่องลูก เรามีความวิตกกังวลเกิดขึ้นได้เสมอ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลอาจเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความวิตกกังวลเป็นสิ่งปกติและเกิดขึ้นกับแทบทุกคนแม้ว่าสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความกังวลสำหรับแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่กิจกรรมหลายๆอย่างก็มักทำให้คนเกือบทุกคนเกิดความวิตกกังวลความกังวลอาจเกิดจากกิจวัตรประจำวันบางอย่างเช่นขณะขับรถบนทางหลวงที่มีการจราจรหนาแน่นเราจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พนักงานที่มีงานไม่มั่นคงต้องคอยกังวลกลัวจะตกงาน ผู้บริหารระดับสูงเองก็ต้องกังวลเกี่ยวกับการตัดสินใจ พนักงานรับโทรศัพท์ก็ต้องคอยเบื่อหน่ายกับโทรศัพท์จากพวกลามก แม่บ้านต้องกังวลกับข้าวของที่คอยจะขึ้นราคา สามีทะเลาะกับภรรยา พ่อแม่ทะเลาะกับลูก จะเห็นว่าเราแทบจะไม่สามารถอยู่โดยไม่มีความวิตกกังวล
ความวิตกกังวลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดังนั้นเราจึงต้องรู้จักวิธีที่จะอยู่กับมัน หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงความวิตกกังวลทั้งแบบปกติและไม่ปกติ การเข้าใจธรรมชาติของความวิตกกังวลจะช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของเราได้ดีขึ้นและรู้ว่าควรปรึกษาจิตแพทย์เมื่อไร ผู้เขียนจะแทรกคำบรรยายของผู้ป่วยจริงๆในช่วงที่เหมาะสม ช่วงหลังของหนังสือจะเป็นวิธีการรักษาภาวะวิตกกังวลทั้งโดยจิตแพทย์และโดยการรักษาด้วยตนเอง
ความวิตกกังวลคืออะไร
ความวิตกกังวลเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในสภาวะอับจน เราจะรู้สึกกลัวแม้ว่าเราอาจจะไม่รู้ว่ากลัวอะไร ความกังวลและความกลัวเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันในภาษาอังกฤษมีศัพท์ที่แสดงอารมณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับความกลัวและความกังวลมากมายเช่น apprehension(หวาดหวั่น), uneasiness(ไม่สบายใจ), nervousness(ตื่นกลัว), worry(กลุ้มใจ), disquiet(ไม่สงบ), solicitude(ความห่วงใย), concern(เป็นธุระ), misgiving(ความสงสัย), qualm(ความประหวั่นพรั่นพรึง), edginess(ความหงุดหงิด), jitteriness(อกสั่นขวัญหนี), sensitivity(ความรู้สึกไว), dis-ease(ไม่เป็นสุข); being pent up(อัดอั้น), troubled(เป็นทุกข์), wary(ระวังระไว), unnerved(ประสาทเสีย), unsettled(ยุ่งเหยิง), upset(ไม่พอใจ), aghast(ตกตะลึง), distraught(คลุ้มคลั่ง), หรือ threatened(น่ากลัว); defensiveness(แก้ตัว), disturbance(ความไม่สงบ), distress(เป็นทุกข์), perturbation(กระวนกระวาย), consternation(ความอกสั่นขวัญหนี), trepidation(ความประหม่า), scare(ตื่นตกใจ), fright(ตกใจกลัว), dread(น่ากลัว), terror(น่าสยดสยอง), horror(น่าขยะแขยง), alarm(ตื่นตกใจ), panic(ตื่นตระหนก), anguish(ความปวดร้าว), agitation(กระวนกระวาย) การที่มีศัพท์เกี่ยวกับ
ความกังวลและความกลัวมากๆแสดงว่าความกลัวและความวิตกกังวลเป็นสิ่งสำคัญ โดยทั่วไปความกลัวและความวิตกกังวลมีส่วนคล้ายกันมาก เมื่อสิ่งกระตุ้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเราจะเรียกอารมณ์ที่เกิดขึ้นว่าความกลัว เราเรียกอารมณ์ของคนที่กำลังเจอสิงโตกระโจนเข้าใส่ว่ากลัว ส่วนในคนที่กำลังจะสอบเราเรียกว่ากังวล คำว่า"fear"ซึ่งแปลว่ากลัวเป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า"faer"ซึ่งแปลว่าอันตรายหรือความหายนะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ส่วนคำว่า "anxious" ซึ่งแปลว่าวิตกกังวลมาจากภาษาละตินว่า "anxius" ซึ่งแปลว่าความทุกข์ใจจากสิ่งที่ไม่แน่นอนซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภาษากรีกซึ่งแปลว่ากดหรือรัดให้แน่น
คนส่วนใหญ่มักมีความกลัวอะไรบางอย่างเล็กๆน้อยๆ เด็กๆมักกลัวพ่อแม่ทิ้ง กลัวคนแปลกหน้า กลัวสัตว ์ กลัวเสียงประหลาด หรือสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ผู้ใหญ่อาจกลัวความสูง กลัวลิฟท์ กลัวความมืด กลัวเครื่องบิน แมลงมุม หนู การสอบ หรือกลัวสิ่งเหนือธรรมชาติเช่น กลัวผี ไม่กล้าเดินลอดใต้บันใด เป็นต้น ความกลัวเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไม่ทำให้ถึงกับต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาและสามารถแก้ได้ด้วยการคิดหาเหตุผลและไม่ต้องรับการรักษา
ความกลัวเป็นการตอบสนองตามปกติต่อการคุกคามทั้งที่เกิดขึ้นจริงๆและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อพฤติกรรมของเราและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายซึ่งเราเองสามารถรับรู้ได้และคนอื่นก็อาจสังเกตุเห็นเช่นกัน ขณะเกิดความกลัวเราจะรู้สึกหัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้นเร็วขึ้นเหงื่อออกที่หน้าผาก แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจต้องใช้เครื่องมือวัดเช่นการเปลี่ยนแปลงของความต้านทานกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง พฤติกรรมขณะที่เกิดความกลัวที่เห็นชัดๆมี 2 แบบ แบบแรกคือทำอะไรไม่ถูก ยืนตัวแข็ง พูดไม่ออก ในสัตว์บางชนิดเวลาตกใจจะแกล้งทำเป็นตายซึ่งอาจเป็นรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมตอบสนองต่อความกลัวในลักษณะนี้ พฤติกรรมอีกแบบคืออาการตื่นตกใจ กรีดร้อง วิ่งหนี พฤติกรรมทั้ง 2 แบบอาจเกิดร่วมกันขณะเกิดความกลัวและสัตว์(หรือคน)อาจเปลี่ยนพฤติกรรมกลับไปกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เช่นสัตว์ที่กำลังตกใจอาจยืนตัวแข็งสักพักแล้วรีบจึงวิ่งหนี
ความกลัวและความกังวลที่รุนแรงทำให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่น หน้าซีด เหงื่อออก ขนลุก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นแรงและเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น กล้ามเนื้อตึงตัวและมีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น ตัวสั่น สะดุ้งง่าย ปากคอแห้ง หายใจเร็วและรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ ฉุนเฉียว อยากร้องไห้ อยากวิ่งเตลิด อยากซ่อนหน้า มือเท้าชาอ่อนปวกเปียก รู้สึกแปลกๆเหมือนอยู่ในฝันหรือเหมือนมองมาจากที่ไกลออกไป ถ้าความกลัวหรือความกังวลเกิดอยู่นานๆเราจะรู้สึกเหนื่อย เชื่องช้าลง ซึมเศร้า กระสับกระส่าย กินอะไรไม่ลง นอนไม่หลับ ฝันร้าย และจะคอยหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คล้ายๆกันนั้น
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะเกิดความวิตกกังวล
เราสามารถรับรู้อารมณ์ของเราได้จากความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้นขณะเกิดอารมณ์นั้น ในภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ใช้บรรยายความรู้สึกโดยพาดพิงถึงส่วนของร่างกายอยู่มากมาย เพื่อนของผู้เขียนผู้หนึ่งคือนพ.จูเลียน เล็ฟท์(Dr.Julian Leff) เคยเขียนแสดงการใช้คำบรรยายความรู้สึกด้วยสำนวนดังกล่าวไว้ดังนี้
หัวใจของฉันเต้นตูมตามปากคอสั่นขณะที่ฉันกำลังข้ามถนนไปแม้ว่าฉันจะเกลียดเขาเข้าไส้ท้องไส้ของฉันปั่นป่วนเมื่อฉันเข้ามาถึงบ้านเขา ฉันเคาะประตู หัวใจของฉันแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามา สันหลังของฉันเย็นวาบเมื่อเขาหมุนลูกบิดประตู เขาเปิดประตูออกมาฉันขนลุกซู่เมื่อเห็นเขา "บอกตรงๆเลยว่าฉันสะอิดสะเอียนคุณจะแย่แล้ว" ฉันพูดโพลงออกไป เขากลับหัวเราะเย้ยๆทำให้ฉันรู้สึกว่าในคอมันตีบตันขึ้นมา "คุณนี่เป็นก้างขวางคอจริงๆนะ" เขาตะคอก ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อก "ฉันมานี่ก็เพราะผู้หญิงที่คุณหักอกน่ะแหละ" ฉันย้อนไป ในใจที่ครุ่นคิดถึงอามันด้าทำให้ฉันรู้สึก เหมือนมีก้อนมาจุกที่คอ เขาหันหลังขวับ ฉันสะดุ้งสติสตังแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในหัวหมุนติ้วขณะที่ฉันเอื้อมมือมาจับ…
เวลาตกใจสารเคมีในร่างกายก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นมีการหลั่งอะดรีนาลีนจากต่อมหมวกไต และมีการหลั่งนอร์อะดรีนาลีนจากปลายเส้นประสาททั่วร่างกายเป็นต้น นอกเหนือจากขณะที่มีความกลัวหรือความกังวลแล้วการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีเหล่านี้ยังเกิดขึ้นขณะเกิดอารมณ์อื่นๆด้วย
ชาร์ลส์ ดาวินผู้คิดทฤษฎีวิวัฒนาการเคยบรรยายให้เห็นภาพพจน์ของความกลัวไว้ดังนี้
คนที่กำลังตกใจจะยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่กระดุกกระดิก ไม่หายใจ หัวใจเต้นถี่และแรง ผิวหนังจะซีดเผือด เหงื่อจะเริ่มซึม ผิวหนังจะเย็นเฉียบ ขนและผมลุกซู่ เนื้อตัวสั่น หายใจหอบถี่ ปากแห้ง จุดสังเกตุที่ดีที่สุดอันหนึ่งคือการสั่นของกล้ามเนื้อทั้งตัวซึ่งมักจะเห็นได้ที่ริมฝีปากก่อน เมื่อความกลัวทวีความรุนแรงมากขึ้น…หัวใจจะเต้นอย่างรุนแรงหรืออาจหยุดเอาเสียเฉยๆทำให้เกิดอาการเป็นลม ผิวหนังซีดเหมือนคนตาย หายใจไม่ออก จมูกบาน รู้สึกฝืดคอ ตาถลน ม่านตาขยาย เนื้อตัวเกร็ง และเมื่อความกลัวถึงขีดสุดจะมีการกรีดร้องอย่างสุดเสียง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนผิวหนัง กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย คลายตัวทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวแรง สมองคิดอะไรไม่ออก ลำไส้ปั่นป่วน กล้ามเนื้อหูรูดไม่ทำงาน ทำให้กลั้นอุจาระและปัสสาวะไว้ไม่ได้
เราจะสังเกตุเห็นความกังวลของคนอื่นได้ไหม?
เราจะสังเกตุอาการของคนที่กำลังตื่นตกใจได้ง่ายกว่าคนที่กำลังดีใจหรือแปลกใจ คนต่างวัฒนธรรมกันอาจจะสังเกตุกันยากขึ้นโดยเฉพาะความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนเล็กๆน้อยๆแต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงชัดเจนแล้วจะสังเกตุกันได้ง่ายขึ้น ถ้าเรามานั่งดูภาพถ่ายของคนในอารมณ์ต่างๆกันเราจะไม่เห็นพ้องตรงกันไปหมดทุกภาพ อารมณ์ของเด็กอ่อนๆยิ่งดูยากขึ้นไปอีกเพราะสามารถแสดงอารมณ์ได้ไม่กี่แบบ เราสามารถบอกความแตกต่างระหว่างคนที่กำลังสบายใจและคนที่กำลังตื่นตกใจได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่กำลังกลัวๆ กำลังแปลกใจ อิจฉา ขยะแขยง โกรธ เราอาจสังเกตุแยกจากกันได้ยากขึ้น คนในภาพถ่ายที่กำลังร้องไห้ด้วยความตื้นตันดีใจก็อาจแยกจากคนที่กำลังร้องไห้เสียใจ ได้ยาก
ความตึงเครียดอาจให้ความสุขได้เช่นกัน
โดยทั่วไปเรามักรู้สึกว่าความวิตกกังวลเป็นความรู้สึกที่ไม่สบายแต่เราก็ไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงมันทุกครั้ง ในทางตรงกันข้ามคนบางคนกลับแสวงหาและพอใจกับการเอาชนะสิ่งที่เป็นอันตราย นักแข่งรถ นักสู้วัวกระทิง นักไต่เขา สนุกกับการเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย คนดูทั้งหลายก็สนุกและตื่นเต้นไปด้วย หนังสือหรือภาพยนต์ประเภทสยองขวัญมักจะทำเงินได้มหาศาล การแข่งรถแบบชนแหลกก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสุขจากการเกิดความกลัวและความกังวล การเล่นจ๊ะเอ๋ซึ่งเด็กเล็กๆชอบนั้นก็เป็นความสุขจากความกังวลอีกอย่างหนึ่ง เด็กเล็กๆจะสนุกเมื่อเห็นพ่อแม่แอบหายไปประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็โผล่กลับมาใหม่ ช่วงที่พ่อแม่แอบอยู่นั้นเด็กจะดูเครียดๆ แล้วจะส่งเสียงดีใจเมื่อพ่อแม่โผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋ แต่ถ้าพ่อแม่แอบนานเกินไปเด็กจะกลัวและอาจจะถึงกับร้องไห้เลยก็ได้
เมื่อไรที่ความวิตกกังวลมีประโยชน์และเมื่อไรที่ไม่มีประโยชน์?
ความกลัวอย่างรุนแรงทำให้เราทำอะไรไม่ถูกและบั่นทอนสมรรถภาพในการทำงานของเรา ในทางกลับกันความกังวลน้อยๆอาจมีประโยชน์โดยทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและทำอะไรได้ฉับไวขึ้น นักแสดงและนักการเมืองมักบอกว่าการมีความกังวลน้อยๆก่อนการแสดงหรือก่อนการปราศัยจะช่วยให้เขาไม่ลืมบท นักเรียนที่จะสอบก็มีความกลัว คนที่จะกระโดดร่มดิ่งพสุธาก็มีความกลัว แม้แต่นักบินประจัญบานยังยอมรับว่าความกลัวช่วยให้เขาทำการรบได้ดีขึ้น ความกังวลพอดีๆจะช่วยให้เราทำอะไรได้ดีขึ้น น้อยไปก็จะทำให้เราเผลอเรอ มากไปเราก็จะทำอะไรไม่ถูก มีการศึกษาพบว่านักกระโดดร่มที่มีประสบการณ์จะมีความกลัวเพียงเล็กน้อยในขณะที่นักกระโดดร่มหัดใหม่จะกลัวมากโดยเฉพาะก่อนกระโดด การมีประสบการณ์มาก่อนช่วยให้เราเกิดการเตรียมพร้อมที่เหมาะสม จากการศึกษาในทหารอเมริกันพบว่าทหารใหม่มักไม่ค่อยกลัวและมักไม่ค่อยใส่ใจกับมาตรการความปลอดภัย แต่จะหูตาไวขึ้นเริ่มแสดงความกลัวและประมาทน้อยลงเมื่อผ่านการรบจริงๆมาบ้าง
ความกลัวน้อยๆอาจช่วยให้คนเราจัดการกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาได้ดีขึ้น ในผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัดใหญ่พบว่าคนที่ไม่กลัวเลยในช่วงก่อนผ่าตัดนั้นหลังผ่าตัดจะมีปัญหาจากความเจ็บปวดและความไม่สบายต่างๆนานารวมทั้งความหงุดหงิดไม่พอใจมากกว่าคนที่แสดงความกลัวอยู่บ้างในช่วงก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยกลุ่มหลังนี้สามารถปรับตัวได้ดีกว่าและแสดงความกลัวหลังผ่าตัดน้อยกว่า ส่วนผู้ป่วยที่มีความกังวลก่อนผ่าตัดมากจะแสดงความกลัวมากหลังผ่าตัดและบ่นปวดบ่นไม่สบายมาก ดังนั้นความกลัวและความกังวลในปริมาณน้อยๆอาจมีประโยชน์แต่ในปริมาณที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะไม่มีประโยชน์และยังอาจเกิดผลเสียด้วย นักกระโดดร่มหัดใหม่จะกระโดดได้ไม่ดีถ้ากลัวมากๆและแม้แต่นักกระโดดร่มที่ชำนาญแล้วก็ยังหวั่นๆว่าเขาอาจจะเกิดกลัวขึ้นมาแล้วจะกระโดดไม่ได้ ขณะเกิดแผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ผู้คนที่กำลังแตกตื่นตกใจอาจวิ่งหนีเอาตัวรอดแบบไม่รู้ทิศทางและอาจลืมสิ่งที่เป็นภาระสำคัญไปเลยเช่นแม่อาจลืมอุ้มลูกออกมาด้วย ทหารที่กำลังโดนยิงถล่มอาจมีอาการอาเจียน อุจจาระราด ทำอะไรไม่ถูก ลืมหลบเข้าที่กำบัง หรือลืมพาผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบเข้าที่กำบัง นักแสดงหรือนักพูดอาจตื่นเต้นจนลืมบทและพูดอะไรไม่ออก ความกังวลขนาดน้อยๆจะกำจัดได้ยาก ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆแล้วอยู่ๆอาการก็หายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไร อาการตื่นตระหนกดังกล่าวมักเกิดโดยไม่มีเหตุกระตุ้นชัดเจน บางครั้งผู้ป่วยอาจพยายามปะติดปะต่อเหตุการณ์แล้วเหมาเอาว่าอาการนั้นๆเกิดจากสิ่งที่ตนเพิ่งกระทำไปก่อนเกิดอาการและพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นอีก เช่น มีผู้ป่วยรายหนึ่งเข้าใจว่ายาตัวใหม่ที่ได้รับทำให้เกิดอาการนี้และไม่ยอมรับประทานยานั้นอีกทั้งๆที่อาการที่เกิดขึ้นก็เป็นอาการเดียวกันกับที่เขาเป็นก่อนได้รับยานั้น
ความตื่นเต้นที่เกิดหลังจากเหตุการณ์ฉุกเฉินผ่านพ้นไปแล้ว
ในสถานการคับขันเราจะทำอะไรไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดแต่เมื่อเหตุร้ายผ่านพ้นไปเราอาจเกิดความตื่นเต้นทีหลังได้ คนขับรถรายหนึ่งเล่าให้ฟังหลังจากรอดจากการเกิดอุบัติเหตุว่า ผมขับรถขึ้นเนินมาและเห็นเด็กผู้ชายอายุราวๆ๖ขวบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างถนนห่างออกไปราวๆ ๒-๓ เมตรท่าทางเหมือนเขาเห็นผมและกำลังรอให้รถของผมผ่านไป แต่อยู่ๆเขาก็ข้ามถนนพรวดออกมา ผมเหยียบเบรคเต็มแรงรถหยุดห่างจากเขาไม่ถึงนิ้ว ความรู้สึกของผมตอนนั้นเหมือนกับดูหนังอยู่แต่พอผมขับรถต่อไปหัวใจของผมเริ่มสั่น เหงื่อเริ่มแตก ตัวสั่น มือไม้สั่นไปหมด ความสุขุมเยือกเย็นเมื่อครู่นี้หายไปหมด เป็นอย่างนี้อยู่ราวๆ๑๕นาทีจึงค่อยๆดีขึ้น
ความตื่นเต้นอาจเกิดหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นชั่วโมงก็ได้ซึ่งจะพบได้บ่อยในสงครามนักบินเครื่องบินทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผู้หนึ่งออกปฏิบัติการเป็นครั้งที่ ๖ ขณะเริ่มทิ้งระเบิดนักบินผู้ช่วยก็ถูกยิงเข้าที่หน้า ตายทันที นักบินยังไม่รู้และพยายามเปลี่ยนหน้ากากออกซิเจน ภาระกิจคราวนี้ยากมากและต้องบินวนอยู่เหนือเป้าหมายถึง ๓ รอบแต่เขาก็ทำได้สำเร็จอย่างเยือกเย็นและได้รับคำชมเชยเมื่อกลับถึงฐาน แต่เมื่อเขากลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเขาก็เริ่มมีอาการสั่น เขาไปหาหมอและร้องไห้ฟูมฟายด้วยความตื่นตระหนก คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบหลายๆอย่างในขณะเกิดเหตุมักควบคุมตัวเองได้ดีในขณะนั้นแต่อาจมีความรู้สึกตามมาในภายหลัง นักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ อีกรายหนึ่งอายุ๑๙ ปี เครื่องบินของเขาเสียหายหนัก เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แพทย์ฟัง..
..ลูกเรือประจำป้อมปืนขึ้นมาบอกผมว่า "เทอร์รี่ตายแล้ว" ผมถามกลับไปว่า "แน่ใจเหรอ? บางทีผมอาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง" ผมตามลงไปและดูด้านหลังศรีษะของเขา – หลุดหายไปทั้งแถบเลยครับ เลือดกรระจายไปทั่ว ผมแกะเสื้อของเขาออก – ไม่มีเสียงหัวใจเต้น [กลัวไหมตอนนั้น?] โอ้ย! ผมไม่เคยกลัวอะไรหรอกครับถ้ากลัวผมเผ่นออกมาแล้ว ผมเปิดเปลือกตาเขาดู – ว่างเปล่า! ถ้าเขายังไม่ตายเขาก็ต้องหายใจ ผมมองดูไดอะแฟรมของเครื่องออกซิเจน – ไม่ขยับ! เขาตายแล้วจริงๆ "แกตายแล้วนะ" ผมพูดออกไปแล้วผมก็มาด้านหน้าผมจะกลัวได้อย่างไรกันในเมื่อผมยังต้องนำเครื่องกลับ? ผมไม่รู้สึกกลัวเลยจนกระทั่งถึงพื้นดิน ถึงตอนนี้ผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว หลังจากปฏิบัติการคราวนั้นเขากลายเป็นคนขวัญอ่อนและขึ้นบินอีกไม่ได้ถึงหนึ่งปีเต็มๆ
"แล้วอย่างผมนี่ปกติหรือเปล่า? ต้องรักษาไหม?"
นี่คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจของหลายๆคน จริงๆแล้วความกังวลที่เป็นปกติและผิดปกติมีส่วนคาบเกี่ยวกัน ถ้าใครอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายแล้วไม่มีความกลัวนับว่าผิดปกติ อีราสมุสเคยกล่าวถึงจุดนี้ ในศตวรรษที่ ๑๕ เขาอพยบหนีโรคกาฬโรคซึ่งกำลังระบาดมีคนตายเป็นเบือและเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่อพยบหนีไปเหมือนกัน "พูดจริงๆนะฉันว่าในสถานการณ์แบบนี้คนที่ไม่กลัวไม่ใช่คนใจกล้าหรอกแต่เป็นคนโง่มากกว่า" เราจะรู้สึกกลัวหน่อยๆเวลายืนอยู่บนหน้าผาหรือพบคนแปลกหน้ามากๆ ในต่างประเทศที่เรายังไม่เคยไป ความกังวลแบบนี้พบบ่อยเป็นสิ่งปกติและช่วยให้เราระวังตัว ในทางกลับกันมีไม่กี่คนไม่ไปทำงานเพราะกลัวรถเมล์ทำให้เดือดร้อนและผิดปกติ การกลัวสิ่งที่ไม่น่ากลัวจนต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเป็นอาการที่เรียกว่าโรคประสาทกลัว บางครั้งบางคราวเราอาจเกิดความรู้สึกเครียดและหวาดกลัวจนเราเองก็ชักไม่ค่อยแน่ใจว่า "เอ..เรานี่ถึงขั้นบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย?" ความวิตกกังวลไม่ทำให้เราเป็นบ้าและเรามักจัดการกับความกังวลของเราเองได้โดยอาจปรึกษาญาติๆหรือเพื่อนๆ แต่บางครั้งแม้หมอตรวจอย่างละเอียดแล้วบอกว่าเราไม่เป็นมะเร็งหรือโรคพิษสุนัขบ้าแน่ๆแต่เราก็ยังอดกังวลไม่ได้ ถ้าความกังวลของเรารุนแรงจนแก้ด้วยวิธีทั่วๆไปไม่ได้เราควรปรึกษาจิตแพทย์
ความวิตกกังวลที่รุนแรงมากจนต้องการการรักษาและเราถือว่าผิดปกตินั้นเป็นอารมณ์ชนิดเดียวกับความกังวลตามปกติแต่จะมีความรุนแรงมากกว่ากันเท่านั้น ผู้ป่วยที่กำลังเกิดอาการกลัวมักถามว่า "ผมยังเป็นปกติอยู่ไหมหมอ?" คำตอบคือเขายังเป็นปกติแต่ความกลัวของเขาผิดปกติ ความวิตกกังวลบางครั้งอาจเป็นมากจนผิดปกติในแง่ของความรุนแรงแต่คนๆนั้นยังเป็นปกติในด้านอื่นทุกๆด้าน บางรายเกิดอาการที่เรียกว่าอะโกราโฟเบีย (agoraphobia,กลัวสถานที่บางอย่างเช่น ที่แคบๆ ที่โล่งๆ ที่ๆมีคนแน่นๆ) ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังจะเป็นบ้าแต่ยังเป็นคนปกติที่เกิดความกลัวเหมือนคนทั่วไปแต่รุนแรงผิดปกติจนรบกวนชีวิตประจำวัน คำถามอื่นๆได้แก่ "จะหายไหม เป็นกรรมพันธุ์ไหม จะทำยังไงถ้าผมเป็นมากจนดูแลครอบครัวไม่ได้ ความย้ำคิดจะทำให้ผมจะเผลอทำร้ายลูกเมียไหม?" ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องไม่ว่าจะโดยแพทย์หรือโดยการรักษาด้วยตนเองก็ตามอาการโรคประสาทกลัวส่วนใหญ่จะหายได้ สองบทสุดท้ายจะกล่าวถึงสิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติ บางครั้งญาติๆบางคนอาจติดอาการกลัวตามไปด้วยซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นถ้าได้รับการรักษาที่ดี ถ้าญาติบางคนมีอาการกลัวแบบเดียวกับผู้ป่วยเราก็สามารถให้การรักษาแบบเดียวกันในกรณีที่ความกลัวทำให้เราให้ความรักกับลูกๆไม่ได้เด็กอาจมีปัญหาแต่เด็กก็อาจได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสามีหรือภรรยาหรือจากญาติๆได้ ไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตามถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเราจะสามารถเอาชนะความกลัวและกลับไปทำหน้าที่พ่อแม่ที่น่ารักได้แน่ และในผู้ป่วยที่มีความย้ำคิดที่จะทำร้ายใครก็มักไม่เผลอทำลงไปจริงๆ(ดูบทที่๙) นิสัยบางอย่างอาจเป็นสิ่งที่ดีถ้าตัวเราเองไม่รู้สึกรำคาญและอาจจะภาคภูมิใจด้วย ถ้าเราเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนมีระเบียบเราอาจทำตามระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆได้ง่ายซึ่งก็เป็นผลดีต่อการทำงาน แต่ถ้าวันทั้งวันเราต้องคอยคิดแล้วคิดอีกตัดสินใจอะไรไม่ได้ คอยเอาชนะความย้ำคิดที่ผุดเข้ามา คอยตรวจตราประตูหน้าต่าง ทำให้คนรอบข้างพลอยหัวปั่นไปกับความพิลึกพิลั่นของเรา แบบนี้ความภูมิใจคงสลายไปเพราะความย้ำคิดย้ำทำซึ่งน่ารำคาญเสียเวลาและทรมาน ความกลัวและความตึงเครียดเล็กๆน้อยๆไม่จำเป็นต้องรับการรักษาแต่บางครั้งคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น การเข้าใจปัญหาของตัวเองและรู้ว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนกันจะทำให้เราสบายใจขึ้น เรามักจะสามารถเอาชนะความกังวลในชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเองโดยอาจใช้วิธีต่างๆที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้หรือด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆหรือญาติๆ แต่ถ้าความกลัวเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันเช่นมีความมกลัวในเรื่องเพศมากจนไม่กล้าแต่งงานหรือกังวลเกี่ยวกับความสกปรกมากจนต้องคอยล้างมือทั้งวันจนมือเปื่อย ในกรณีนี้ควรได้รับการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจจะเป็นจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ภาวะวิตกกังวลส่วนใหญ่สามารถรับการรักษาได้โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจคนที่เป็นประสาทกลัวได้ยาก
ความประสาทกลัวถ้ายิ่งกลัวสิ่งที่ธรรมดาและพบบ่อยเท่าไรคนทั่วไปจะยิ่งไม่เข้าใจและไม่เห็นอกเห็นใจ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าจะมีคนกลัวลูกหมาที่ขี้เล่น กลัวนกที่บินโฉบไปมา กลัวการออกจากบ้านไปได้อย่างไรคนมักเข้าใจว่าผู้ป่วยแกล้งทำหรือดัดจริตและควรพยายามควบคุมตัวเองหรือไม่ก็ต้องบังคับกัน คนทั่วไปไม่เข้าใจถึงความรุนแรงของความรู้สึกและความเดือดร้อนที่เกิดจากความประสาทกลัว ผู้ป่วยรายหนึ่งบอกว่า "ฉันพบว่าคนทั่วไปมักไม่ยอมเข้าใจความประสาทกลัว เขามักมองว่า "อย่าโง่นักเลยไม่กัดหรอกน่ะ" เขาไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความกลัวธรรมดา-หรือความไม่ชอบอะไรบางอย่างกับการเป็นประสาทกลัวซึ่งเป็นความกลัวจับจิตจับใจต่อสิ่งนั้น" คนทั่วไปคงจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้ง่ายขึ้นถ้าได้รู้จักความประสาทกลัวต่อของทั่วๆไปมากขึ้น ผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งกลัววิกและผมปลอมถึงขนาดจะเข้าร้านทำผมได้ต่อเมื่อเขาเก็บวิกไปซ่อนไว้หมดแล้วเท่านั้น เธอจะไม่ยอมเข้าใกล้คนใส่วิกและจะรีบเดินผ่านผมปลอมอย่างรวดเร็วและไม่ยอมนั่งกินข้าวตรงข้ามกับคนใส่วิกเด็ดขาด เวลามีใครที่ไม่ทราบว่าเธอกลัววิกใส่วิกเข้ามาในห้องเธอแทบจะกระโดดทะลุหน้าต่างหนี เธอรู้สึกอับอายกับการที่ต้องมากลัวอะไรแบบนี้
คนทั่วไปไม่เข้าใจว่ามีความกลัวประเภทนี้อยู่ในโลกได้อย่างไร เราเองก็ยังไม่ทราบว่าความประสาทกลัวเริ่มเกิดขึ้นมาได้อย่างไรแต่เรารู้ว่ามันแผ่ขยายต่อไปได้ การที่เราหนีแต่ละครั้งจะทำให้เราอยากหนีอีกในครั้งต่อไป ถ้าเราไม่จัดการอะไรกับความประสาทกลัวเอาแต่คอยหนีและคอยหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับสิ่งที่กลัวความกลัวจะแผ่ขยายออกไปอีก ยิ่งถ้าเราเก็บความกังวลนี้ไว้ไม่ยอมบอกใครทำให้ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนที่อาจมีปัญหาคล้ายๆกันความประสาทกลัวจะยิ่งมากขึ้น
ความอายและการเก็บซ่อนความประสาทกลัว
การที่คนอื่นไม่เข้าใจทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากรู้สึกอับอายกลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะที่กลัวอะไรแบบนี้และเก็บซ่อนความกังวลไว้คนเดียว แม้กระทั่งถึงคราวที่ปิดต่อไปไม่ได้แล้วผู้ป่วยก็ยังไม่ยอมรับง่ายๆแต่จะเลี่ยงว่าเป็นเพราะปวดหัวใจสั่นท้องเสียหรือเหนื่อยแทน ผู้ป่วยอาจกลัวว่าตนจะเป็นบ้าด้วยการที่ผู้ป่วยพยายามปิดบังนี้เองอาจทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยสังเกตุไม่ออก แม่บ้านที่เป็นโรคไม่กล้าออกนอกบ้านอาจอยู่กับบ้านนานเป็นปีโดยที่คนที่ไปมาหาสู่กันหรือญาติๆไม่รู้เลยว่าเธอมีปัญหาตัวอย่างเช่นผู้ป่วยกลัวออกจากบ้านหลายๆรายถูกเปิดเผยโดยบังเอิญในช่วงโครงการเปลี่ยนบ้านในนิวยอร์คครอบครัวที่ยากจนและอาศัยอยู่ในห้องๆเดียวได้บ้านใหม่และมีนักสังคมสงเคราะห์มาคอยติดตามดูแลหลังจากนั้นไม่นานปรากฏว่าผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรคกลัวออกนอกบ้านยังคงมีอาการอยู่ในบ้านใหม่ บางรายจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้เอาลูกมานอนใกล้ๆ บางรายพยายามจัดที่นอนให้เหมือนบ้านเก่า ผู้ป่วยเหล่านี้อาจชวนน้องสาวหรือเพื่อนมาอยู่ด้วย แม้ว่าอพาร์ตเม้นท์ใหม่จะมีห้องหลายห้องก็ตามจะมีเพียงห้องเดียวที่ใช้ได้ ไม่นานก็จะเห็นได้ชัดว่าผู้ป่วยเหล่านี้กลัวการเดินทางหรือกลัวการที่จะต้องทำอะไรคนเดียวตามลำพัง ความประสาทกลัวไม่หายง่ายๆแต่เวลาที่อยู่ในภาวะที่ลำบากมากๆผู้ป่วยอาจเก็บซ่อนความกลัวไว้ได้ชั่วคราว ในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในยุโรปส่วนที่ถูกนาซียึดไว้มีคนตายหรือถูกส่งต่อไปค่ายสังหาร ถึง ๑๒๐,๐๐๐ คน คนจะไม่บ่นถึงความประสาทกลัวและเก็บซ่อนไว้เพื่อให้ยังได้ทำงานอยู่ไม่ถูกยิงทิ้งหรืออบแก้สพิษไปเสียก่อน ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ที่ชัดเจนเลยแม้ว่าจะมีโรคทางจิตเวชอย่างอื่นเกิดขึ้นก็ตาม หลายเดือนหลังจากเป็นอิสระและได้กลับบ้านผู้ป่วยบางรายที่ไม่แสดงอาการประสาทกลัวในค่ายกลับมามีอาการเดิมอีก
ปัญหาอื่นที่อาจสับสนกับความประสาทกลัว
อาการบางอย่างดูคล้ายความประสาทกลัวแต่ก็สามารถแยกจากกันได้ ดังตัวอย่างความกลัวโชคลางและข้อห้าม(taboo)เป็นเป็นความเชื่อเกี่ยวกับโชคดีโชคร้ายที่คนในกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกันเชื่อเหมือนๆกันเช่นเชื่อว่าเดินลอดใต้บันไดแล้วจะโชคไม่ดี,หรือเชื่อว่าถ้วเอานิ้วกลางทับนิ้วนางแล้ววางมือไว้ตรงหัวใจหรือพูดว่า "เป็นความประสงค์ของพระเจ้า" แล้วจะโชคดี มีคนกล่าวถากถางว่า "ความเชื่อโชคลางเป็นศาสนาของคนอื่น"
ความย้ำคิด(obsession)เป็นความคิดที่ผุดเข้ามาในสมองซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งๆที่ไม่อยากคิดและพยายามฝืนเช่นคุณแม่รายหนึ่งมีความคิดผุดเข้ามาว่าอยากจะบีบคอลูกที่หลับอยู่ คำว่าย้ำคิดมีที่มามาจากภาษาละตินว่า "obsidere" ซึ่งแปลว่า "รบกวน" ผู้ป่วยถูกความคิดที่ตนไม่ต้องการเหล่านี้รบกวนผู้ป่วยมักจะมีความย้ำทำ(compulsion)ด้วยโดยรู้สึกว่าต้องทำอะไรซ้ำๆทั้งที่ไม่อยากทำเช่นต้องล้างมือวันละ ๙๐ ครั้งเพราะมีความรู้สึกว่ามือสกปรกทั้งๆที่รู้ว่ามือสะอาดแล้ว
ความครุ่นคิด(preoccupation)เป็นการคิดอะไรซ้ำๆโดยไม่มีความรู้สึกอยากต่อต้าน
ความคิดนั้นเช่นการครุ่นคิดว่าตนไม่เอาไหนในเรื่องเพศในเด็กวัยรุ่น
ความรู้สึกถูกกล่าวพาดพิง(sensitive ideas of reference)เป็นความกลัวว่าคนอื่นจะทำหรือพูดอะไรพาดพิงถึงตนทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่เช่นความคิดว่าคนทั้งห้องกำลังพูดถึงตนอยู่เมื่อตอนที่ตนเดินเข้ามา
ความหวาดระแวงหลงผิด(paranoid delusions)อาจมีความหมายรวมไปถึงความกลัวว่าจะมีใครต่อต้านตนโดยไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด
การท้าทายความประสาทกลัว(counterphobias) พฤติกรรมต่อต้านความประสาทกลัวเป็นความอยากเข้าไปเผชิญสถานการณ์หรือสิ่งที่ตนกลัวอยู่เรื่อยๆ อาจเกิดเมื่ออาการยังไม่มากหรือเมื่อผู้ป่วยพยายามเอาชนะความกลัว สุภาพสตรีท่านหนึ่งพยายามเอาชนะความกลัวความสูงโดยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พฤติกรรมท้าทายความประสาทกลัวอาจช่วยผู้ป่วยได้โดยการเผชิญกับสิ่งที่กลัวทำให้ผู้ป่วยค่อยๆคุ้นเคยและหายกลัวได้ ความพอใจที่สามารถควบคุมความกลัวได้อาจทำให้ผู้ป่วยที่กลัวทะเลกลายเป็นนักว่ายน้ำหรือนักเล่นเรือใบผู้มุ่งมั่นหรือคนเคยกลัวเวทีอาจพยายามขึ้นพูดในที่สาธารณะทุกครั้งที่มีโอกาส พฤติกรรมท้าทายความประสาทกลัวก็เหมือนกับการที่เด็กชอบเล่นเกมส์ที่น่าตื่นตกใจ หรือในผู้ใหญ่ที่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆเช่นแข่งรถหรือการไต่เขา แต่ก็ไม่ใช่ว่ากิจกรรมทุกชนิดจะเป็นพฤติกรรมต่อต้าท้าทายความประสาทกลัวไปหมด คนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมประเภทนี้โดยไม่ได้มีความกลัวเลย มีแต่ความตื่นเต้นท้าทายและความสนุกสนาน
ความรังเกียจ(aversion) มีคนบางคนที่ไม่ถึงกับกลัวสถานการณ์บางอย่างแต่มีความไม่ชอบอย่างมากที่จะจับ ชิม หรือได้ยินอะไรที่คนทั่วไปรู้สึกเฉยๆหรือชอบ ความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นต่างจากความกลัวอยู่บ้าง ความรังเกียจทำให้รู้สึกเสียวฟัน เสียวสันหลัง เนื้อตัวเย็นหน้าซีด และหายใจเฮือก เราจะรู้สึกขนลุก ไม่เป็นสุข บางครั้งรู้สึกจะอาเจียน แต่ไม่รู้สึกตกใจ บางครั้งอาจมีความรู้สึกอยากเช็ดนิ้วหรือเอาครีมมาทาความรู้สึกรังเกียจบางอย่างจะเป็นมากขึ้นถ้าผิวหนังหยาบหรือตัดเล็บไว้ไม่เสมอกันทำให้มีความรู้สึกติดปลายนิ้วเวลาลูบผ่านอะไร ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งไม่ชอบของที่มีผิวเป็นขนสั้นๆนุ่มๆอย่างมากเช่นผิวลูกพีช ลูกเทนนิสใหม่ๆ หรือพรมบางชนิด เขาจะไม่เข้าห้องที่ปูพรมใหม่ๆที่มีเนื้อแบบนั้น เวลาเล่นเทนนิสเขาต้องใส่ถุงมือข้างหนึ่งไว้จับลูกบอลจนกว่าขนจะหลุดหมด คนบางคนมีปัญหากับการหยิบจับกระดุมมุก สำลี กำมะหยี่ หรืออะไรจำพวกนี้ บางคนชอบดูกำมะหยี่ที่วางโชว์อยู่แต่ไม่อยากจับ ความรู้สึกทำนองเดียวกันอาจเกิดกับเสียงชอลค์ขีดกระดานดำหรือเสียงมีดครูดกับจาน ความรังเกียจเหล่านี้แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่จริงๆแล้วอาจรบกวนมาก สุภาพสตรีท่านหนึ่งไม่ชอบเสียงชอลค์ขีดกระดานดำจนต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะเป็นครู อีกท่านหนึ่งไม่ชอบกำมะหยี่จนไปงานเลี้ยงของเด็กๆไม่ได้ อีกคนบอกว่า "กระดุมทุกชนิดทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้ ฉันไม่ชอบมันตั้งแต่เด็ก ลุงของฉันก็เป็น ฉันใส่ได้เฉพาะเสื้อผ้าที่ใช้ซิบกับตะขอเท่านั้นมีกระดุมไม่ได้เลย" ของที่คนบางคนรังเกียจมีได้มากมาย รายการวิทยุในอังกฤษรายการหนึ่งนพ.จอห์น ไพรซ์ และผู้ร่วมงานเชิญชวนให้ผู้ฟังที่คิดว่าตนมีความรังเกียจอะไรบางอย่างอยู่เขียนบรรยายเข้ามาร่วมรายการปรากฏว่ามีจดหมายพรั่งพรูเข้ามามากมายซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกเวลาเกิดความรังเกียจได้ดีขึ้น จดหมายส่วนใหญ่พูดถึงความรังเกียจที่จะจับสิ่งของมากกว่า ๑ อย่างและหลายๆคนชอบดูวัตถุที่ตนไม่กล้าแตะโดยเฉพาะผู้ที่ไม่กล้าจับกระดุมเงาๆ ความรู้สึกขยะแขยงที่พบบ่อยที่สุดคือการจับสำลีเส้นลวด ฝอยขัดหม้อ หรือกำมะหยี่ ที่พบบ่อยเช่นกันได้แก่การรังเกียจรสหรือกลิ่นบางอย่างทำให้ต้องเลี่ยงอาหารบางชนิดตัวอย่างที่พบบ่อยคือหัวหอม จดหมายหลายๆฉบับพูดถึงความขัดแย้งกันระหว่างเด็กที่ต้องใส่ชุดกำมะหยี่ในงานเลี้ยงกับแม่ที่ไม่เข้าใจว่าทำไม่เด็กถึงไม่ชอบใจ "ตั้งแต่จำความได้ฉันไม่ยอมจับกำมะหยี่เลย แม่บอกว่าฉันแผลงฤทธิ์เต็มที่ (ตอนนั้นอายุประมาณ๓ขวบ) เมื่อต้องใส่ชุดปาร์ตี้กำมะหยี่สีฟ้าน่ารักคอปกและข้อมือสีขาวที่แม่ทำให้ เมื่อถึงเวลางานฉันต้องใส่มันจนได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อยของแม่ ฉันยืนกำมือแน่นกางแขนห่างจากตัวประมาณหนึ่งคืบและได้แต่ร้อง "ไม่เอาๆ" และฉันก็ไม่เคยเปลี่ยนความคิดเลย ฉันอายุจะ๕๐แล้ว หน้าร้อนที่ผ่านมาฉันไปซื้อเสื้อผ้าและเดินไปดูตรงที่โชว์กำมะหยี่(ฉันชอบดู)ฉันบอกกับตัวเอง"น่าอายน่ะ ฉันโตแล้วนะ กล้าหน่อยสิ หยิบขึ้นมาดู "ฉันยืนคิดอยู่เกือบ ๒ นาทีพยายามบอกตัวเองว่ามันน่ารักออกจะตายไป ฉันยื่นมือไปจับขึ้นมาทั้งกำมือ-แต่ความรู้สึกยังเป็นเหมือนเดิม!เสียวฟัน!ขยะแขยงจริงๆ! ฉันว่าไม่ใช่แค่น่าอายเฉยๆนะ? ฉันเลิกหวังว่าฉันจะมีโอกาสออกงานหรือไปโรงละครในชุดกำมะหยี่สีพลอย เวลาฉันไปบ้านใครที่มีเบาะกำมะหยี่ฉันต้องคอยระวังไม่ให้มือหรือแขนที่อยู่นอกเสื้อไปถูกมัน!"
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่ชอบกำมะหยี่เท่านั้นแต่ยังเป็นกับหนังกลับ ผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ และเน็คไทที่มีขนปุยๆด้วย "ทันทีที่ฉันสัมผัสเส้นใยประเภทนี้ฉันจะรูสึกซ่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย ฉันอายุแค่๑๕และตอนเด็กๆแม่ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกอย่างไรเวลาจับฉันแต่ชุดกำมะหยี่ที่น่าขยะแขยงหรือให้เนคไทขนๆกับฉันและสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันเลิกสูบบุหรี่คือก้นกรองก็เป็นกำมะหยี่ชนิดหนึ่งเหมือนกัน" จดหมายบางฉบับบ่งบอกว่าความรังเกียจอาจเกิดในครอบครัวได้ พ่อของฉันไม่ยอมให้แม่แต่งชุดกำมะหยี่เพราะเขาไม่กล้าแตะต้องมัน(เวลาเต้นรำ) ซึ่งรวมไปถึงอะไรที่คล้ายๆกำมะหยี่ด้วยเช่นผ้าที่มีขนเดี๋ยวนี้ฉันเองก็กลัวเหมือนพ่อแล้ว ลูกสาวของฉัน (อายุ๒๗) ก็เป็นแบบเดียวกันตั้งแต่ยังเล็กๆเธอจะไม่ชอบของเล่นที่เป็นผ้ามีขน นี่เลยกลายเป็นการมีคน๓ชั่วคนกลัวของอย่างเดียวกันโดยไม่มีเหตุผล
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือความรู้สึกเสียวฟันเกิดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีฟันจริงๆ ครอบครัวของฉันเป็นเกือบทุกคน แม่ของฉันเกลียดเสียงช้อนขูดกระทะและบอกว่ารู้สึกเสียวฟันทั้งๆที่แกไม่มีฟันแล้วและต้องใส่ฟันปลอมทั้งบนและล่าง พี่ชายคนหนึ่งเกลียดเสียงบดเกลือรวมทั้งเสียงเล็บครูดฝาผนังด้วย ฉันเองไม่ชอบการที่เด็กๆเล่นลูกโป่งโดยเอานิ้วถูให้เกิดเสียงหรือเสียงขัดพื้น-คิดถึงขึ้นมาแล้วขนลุก ฉันไม่กล้าจับสำลีเพราะทำให้รู้สึกจั๊กจี้มือ กับพวกฝอยขัดหม้อก็เหมือนกัน ลูกสาวคนโตของฉันทนไม่ได้เวลาฉันตะไบเล็บ ส่วนคนเล็กไม่ชอบแตะกำมะหยี่
สำลีแห้ง
สุภาพสตรีอีกท่านหนึ่งรู้สึกสั่นเวลาจับสำลีจนตัดสินใจไม่เรียนพยาบาล ต่อมา "เมื่อการล้างแผลสมัยใหม่ใช้ปากคีบจับสำลีฉันจึงสมัครเป็นพยาบาล แรกๆฉันรู้สึกรำคาญมากแต่เมื่อชุบสำลีกับน้ำยาเย็นๆหรือยาล้างแผลความกระอักกระอ่วนที่จะจับสำลีก็หายไป ทุกวันนี้แม้ว่าฉันจะยังไม่ชอบจับมันอยู่แต่ความรู้สึกสั่นเป็นน้อยลงมากแล้ว ดูเหมือนว่าความไม่ชอบนี้จะเป็นกับคนในครอบครัว "สามีของฉันก็ไม่ชอบอยู่ใกล้สำลี ลูกชายก็เหมือนกัน ลูกสาวก็เป็นตอนเล็กๆซึ่งฉันแกล้งทิ้งสำลีชิ้นเล็กๆไว้ทั่วบ้านซึ่งก็ทำให้หายได้แต่ต่อมาเธอบอกฉันว่ากลัวอีกแล้ว เธออายุ ๒๗ แล้วน่าแปลกไหม
หนังกลับ(suede)
ชายผู้หนึ่งเขียนมาว่า "ตลอดชีวิตผมไม่ชอบจับหนังกลับหรือของเนื้อแบบนั้น ถ้าบังเอิญไปโดนเข้าผมจะขนลุกซู่ทันที จะรู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลัง และสะดุ้งกลับราวกับโดนน้ำร้อนลวก แค่คิดถึงก็ทำให้รู้สึกขนลุกขนพองแล้ว! ผมเล่นเทนนิสไม่สนุกเท่าที่ควรเพราะผิวของลูกของมัน โต๊ะเล่นไพ่ก็เหมือนกันเวลาปลายนิ้วไปโดนจะรู้สึกอย่างกับแปรง-ผมเลยไม่เล่นไพ่เพราะเหตุนี้ การซักพรมด้วยแชมพูเป็นงานที่ทำให้ผมขยาดมาก ไม่ใช่เพราะงานหนักแต่เป็นเพราะเกลียดความรู้สึกจากขนพรมเปียกๆ ผมลูบช้อนไม้เปียกๆไม่ได้-นี่เป็นเรื่องตลกสำหรับภรรยาของผมกว่า๒๐ปีที่อยู่ด้วยกันมา!"
ผ้าขนสัตว์เปียกๆ
"ฉันจับผ้าขนสัตว์หรือผ้าขนสัตว์เทียมเปียกๆไม่ได้ หลังจากซักผ้าประเภทนี้ฉันถึงกับหุบนิ้วไม่ลงจนกว่ามือจะแห้ง ฉันต้องกัดลิ้นไว้เพื่อลดความรู้สึกเสียวฟัน"
ผิวลูกพีช
ความรังเกียจผิวลูกพีชทำให้บางคนไม่ยอมปอกลูกพีช คนที่ชอบกินลูกพีชบอกว่าต้องให้คนอื่นปอกให้ ความรังเกียจนี้อาจรุนแรงมากๆได้ "ฉันรังเกียจผิวลูกพีชอย่างมากแต่กับแอปริคอทแล้วเป็นไม่ค่อยมาก เวลาเห็นใครกัดลูกพีชทั้งเปลือกฉันจะเกิดความขยะแขยงขึ้นมาทันทีและจะเป็นอยู่เป็นชั่วโมง การนึกถึงมันก็ยังทำให้ฉันตัวสั่นได้"
ยาง
"ตอนเด็กๆฉันเคยกลัวการเล่นเกมส์ที่ต้องใช้ลูกโป่งในงานวันเกิดและฉันต้องร้องห่มร้องไห้พยายามบอกแม่บ่อยๆว่าจะไม่ใส่รองเท้าบูทยางเอง ฉันจะไม่ว่าอะไรถ้ามีคนใส่ให้..ฉันเกลียดมันเพราะเวลาจับของ๒อย่างนี้ฉันจะขนลุก หลังเย็นวาบ ฟันจะเริ่มกระทบกันและหายใจไม่ออก..ราวกับตกน้ำเย็นๆมา"
"ฉันยอมรับว่าฉันจับของพวกนี้ได้เมื่อจำเป็นเวลาทำให้ลูกๆและอาการของฉันไม่รุนแรงเท่าตอนเด็กๆแล้วแต่ฉันก็ยังต้องสูดหายใจยาวๆเพื่อลดอาการหนาวสั่น" อย่างที่นพ.ไพรซ์กล่าวไว้ ความรังเกียจเหล่านี้น่ารำคาญมากกว่าจะเป็นอุปสรรคกับชีวิตประจำวันแต่บางรายก็มีผลต่อการเลือกอาชีพเช่นพยาบาล ครู และมีผลต่องานในบ้าน คนที่ไม่ยอมล้างชามเพราะไม่ชอบแตะต้องหม้อหรือกระทะไม่จำเป็นจะต้องเป็นการแกล้งทำเสมอไป แต่อย่างไรก็ตามคนที่เป็นมากขนาดในจดหมายฉบับสุดท้ายนี้มีน้อยมาก
เรามีลูกชายคนหนึ่งชื่อเจมส์อายุ๘ขวบ เขารังเกียจสิ่งต่างๆหลายอย่างมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งโดยการสัมผัสและโดยการกิน…เริ่มเป็นตั้งแต่๖ขวบและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ การจดรายการของที่ไม่ทำให้เขา "หนาว" ยังจะง่ายกว่าเลย…เขารังเกียจวัตถุสังเคราะห์ทุกชนิด ผ้าขนสัตว์หลายชนิด แปรง กระดาษชำระ เสียงกระโดด เสียงขัดพื้น อ้อ!แล้วก็ทราย-หาดทราย! ฉันแปลกใจกับรายการสิ่งที่เขาเกลียด เวลาซื้อเสื้อผ้าให้ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะใส่ได้หรือเปล่า อาการเกลียดของเขาคือหน้าซีด ซี้ดปาก ตัวสั่น และถ้าเป็นมากๆจะขนลุก…ถ้าเป็นมากกว่านี้เขาคงต้องแก้ผ้าไปโรงเรียน! เขาเป็นลูกคนโตในจำนวน ๒ คน [คนที่ ๒ เป็นผู้หญิงไม่เกลียดอะไรเลย] ตัวฉันเองและสามีก็เหมือนคนทั่วๆไปคือเกลียดอะไรนิดๆหน่อยๆคนละอย่างสองอย่าง เขายังติดของเล่นชิ้นหนึ่งมาก เป็นตุ๊กตาสุนัขขาดๆเหม็นๆ เขาจะมีความสุขกับการจับและดมมันมาก
ผ้าห่มของไลนัส: ของประจำตัว(soterias)
เรื่องของตุ๊กตาสุนัขขาดๆนำเราไปสู่เรื่องของผ้าห่มของลินนัส เด็กที่น่ารักในการ์ตูนพีนัท เขามักไปไหนต่อไหนโดยเอาผ้าห่มเก่าๆของเขาไปด้วย ผ้าห่มของลินนัสเป็นของประจำตัวชนิดหนึ่ง ของประจำตัวหมายถึงวัตถุที่คนๆนั้นผูกพัน ซึ่งตรงข้ามกับความรังเกียจและความประสาทกลัว มักเป็นของส่วนตัวที่ให้ความสุขแบบพิเศษสำหรับคนๆนั้นโดยเฉพาะแม้ว่าคนทั่วไปจะเห็นว่าเป็นของธรรมดาๆ เช่นของเล่นและตุ๊กตายัดนุ่นที่เด็กเล็กๆชอบเอาติดตัว พวกเครื่องรางที่ผู้ใหญ่จำนวนมากพกติดตัวก็เช่นกัน เด็กหลายๆคนเอาผ้าห่มหรือตุ๊กตายัดนุ่นตัวเก่งติดตัวไปด้วยทุกที่จนเก่าสกปรกขาดรุ่งริ่งเป็นผ้าขี้ริ้ว เด็กจะติดของมากจนแม่ไม่สบายใจและพยายามเก็บไปทิ้งซึ่งเด็กอาจเสียใจมาก ผู้ที่เป็นประสาทกลัวก็อาจติดของประจำตัวบางอย่างซึ่งช่วยลดความกลัวได้ บางรายจะรู้สึกอุ่นใจถ้าพกยาดมติดตัวไว้ บางรายแค่มียากล่อมประสาทติดกระเป๋าอยู่แม้ไม่เคยได้ใช้เลยก็สบายใจแล้ว
ประวัติความเป็นมาของความกลัว
ความกลัวไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เกือบ ๒๐๐๐ ปีก่อนฮิปโปเครติสกล่าวถึงชายคนหนึ่งที่เป็นประสาทกลัวขลุ่ย ถ้าเขาไปงานเลี้ยงตอนกลางคืนทันทีที่ได้ยินเสียงขลุ่ยเขาจะเกิดอาการตื่นกลัวขึ้นมาทันทีแต่ถ้าเป็นกลางวันแล้วไม่เป็นไร อีกรายเป็นโรคกลัวความสูงถึงขนาดไม่กล้ายืนริมหน้าผา บนสะพาน หรือแม้แต่ริมคูน้ำตื้นๆ มีการเขียนถึงความประสาทกลัวอยู่เรี่อยๆ ปี ๑๖๒๑ (พ.ศ.๒๑๖๔)โรเบิร์ต เบอร์ตันพิมพ์หนังสือชื่อ "กายวิภาคศาสตร์ของภาวะซึมเศร้า" ว่า "นอกจากจะทำให้หน้าแดงหน้าซีดตัวสั่นเหงื่อแตกแล้วภาวะที่ว่านี้มีผลร้ายอีกหลายอย่าง…เขาจะอยู่อย่างหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด…ไม่มีวิธีใดๆที่จะมาแก้ความกลัวนี้ได้" เบอร์ตันบรรยายความแตกต่างระหว่างความกลัวและความซึมเศร้าและกล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์หลายๆคนที่เป็นประสาทกลัวเช่นทัลลี่ (Tully) และเดโมสทีนส์ (Demosthenes) ซึ่งเป็นโรคตื่นเวทีทั้งคู่ และออกุสตุส ซีซ่าร์ (Augustus Caesar) ซึ่งเป็นโรคกลัวความมืด
เบอร์ตันเขียนถึงผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่ง..ไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียวเพราะกลัวเป็นลมหรือตายไปเลย นอกจากนั้นเขายังกลัวว่าทุกคนที่เขาพบจะปล้น หาเรื่องทะเลาะ หรือไม่ก็ฆ่าเขา อีกอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าไปไหนคนเดียวคือกลัวเจอผี ผู้ร้าย หรือกลัวจะไม่สบาย เขายังไม่กล้าขึ้นสะพาน อยู่ใกล้บ่อน้ำ ท้องร่อง เนินเขาชันๆ อ่างน้ำมนต์ในโบสถ์ เพราะกลัวว่าจะเผลอกระโดดลงไป เวลาฟังสวดเขาก็กลัวจะเผลอตะโกนอะไรออกมา เวลาปิดประตูอยู่ในห้องคนเดียวเขาจะกลัวหายใจไม่ออกและต้องพกยาดมติดตัวเป็นประจำ ถ้าเขาอยู่ในที่ๆคนมากๆหรืออยู่ในโบสถ์ซึ่งออกมาลำบากเขาจะทนนั่งอยู่ได้แต่จะรู้สึกทรมานมาก
หลังจากนั้นก็มีการกล่าวถึงความประสาทกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กษัตริย์เจมส์ที่๑แห่งอังกฤษไม่กล้ามองดาบที่ไม่ได้อยู่ในปลอกจนมีผู้กล่าวว่า "อลิซาเบธเป็นกษัตริย์ส่วนเจมส์ที่๑เป็นราชินี" กษัตริย์อีกองค์หนึ่งคือเจอร์มานิคัส (Germanicus) กลัวไก่ตัวผู้และเสียงไก่ขัน เมื่อโรคซิฟิลิสระบาดในยุโรปโรคประสาทกลัวซิฟิลิสก็ตามมา ในปี ๑๗๒๑ (พ.ศ.๒๒๖๔) แพทย์ผู้หนึ่งบรรยายอาการโรคประสาทกลัวซิฟิลิสไว้ว่า แค่สิวเม็ดเดียวหรือมีอะไรเจ็บๆขึ้นมาหน่อยผู้ป่วยก็จะเป็นกังวลจนต้องไปหาหมอ อาการจะรุนแรงจนแพทย์เองยังรู้สึกว่ารักษายากกว่าซิฟิลิสจริงๆเสียอีก ความประสาทกลัวอื่นๆของบุคคลในประวัติศาสตร์ได้แก่ของกษัตริย์เฮนรี่ที่ ๓ แห่งฝรั่งเศสซึ่งกลัวแมวและดยุคแห่งชอนเบอร์กซึ่งเป็นนายพลชาวรัสเซียผู้โด่งดังผู้หนึ่งซึ่งกลัวกระจกเงาจนจักรพรรดินีแคเธอรีนต้องให้เข้าเฝ้าในห้องที่ไม่มีกระจกเงาเลย นักเขียนชาวอิตาเลี่ยนชื่อแมนซอนี่ (Mansoni) ไม่กล้าออกจากบ้านคนเดียวเพราะกลัวจะเป็นลมนอกบ้านและต้องพกน้ำส้มสายชูขวดเล็กๆติดตัวไปด้วยทุกที่ เฟดู (Feydeau) นักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศสแทบจะไม่ได้ออกไปไหนตอนกลางวันเลยเพราะกลัวแสงแดด แม้แต่ซิกมันด์ ฟรอยด์เองก็เคยมีอาการประสาทกลัวเช่นกัน อย่างหนึ่งก็คือ การกลัวการเดิน ซึ่งเป็นอยู่หลายปีในช่วงอายุ๓๐เศษ
เป็นข้อมูลที่ดีมาก ทั้งหมดคือเกิดจากความคิด..รู้แล้วสบายใจ ว่าเป็นกระบวนการทางความคิด กระตุ้นไปถึงระบบปราสาทอัตโนมัติ เมื่อรู้ความจริงว่าเราพบเจอกับอะไร เรารู้จักมันแล้ว..ที่มาของความกลัว…เรารู้จักมันแล้ว..เราก็เลิกกลัวความรู้สึกกลัวกันได้ซะที หลายคนรู้ความจริงของกระบวนการเคมีทางร่างกาย ว่าเป็นเรื่องปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของร่างกาย เราจะสบายใจ..เราจะไม่เครียด เราจะผ่อนคลาย แล้วเราจะมั่นใจว่า..เรารับมือกับความรู้สึกนี้ได้แล้ว..เราก็จะเลิกกลัว เราก็หลุดพ้นออกจากวังวนนี้ซะที จิตใจเราจะเข้มแข็งขึ้น อาญหาญขึ้น คือความกล้าของจิตใจ..ขอบคุณสำหรับบทความนี้อีกครั้ง ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เผญิชกับ.ความกลัว..นับแต่นี้ขอให้ทุกคน กล้าหาญทื่จะหลุดพ้นความกลัว